65,651 total views
บันทึกที่ 2 ในช่วงกักตัว…
สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว ด้วยสถานการณ์โควิด ทำให้การบินกลับไทยต้องมีขั้นตอนเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ ตอนนี้เลยจะมาเล่าถึงการเตรียมเอกสารกลับไทยกันต่อ
หลังจากได้อีเมลยืนยันการสำรองที่นั่งของเที่ยวบินพิเศษจากสถานทูตมาแล้ว (ได้รับอีเมลวันที่ 31 กรกฎาคม 2563) ในอีเมลจะมีรายละเอียดบอกว่าขั้นตอนต่อไปเราต้องทำอะไร ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง
เอกสารที่ว่านี้แบ่งเป็น 2 ส่วน…
ส่วนแรกคือเอกสารยินยอมและรับทราบการกักตัว 14 วัน และส่วนที่สองคือเอกสารประกอบการเดินทางที่เราต้องเตรียมให้พร้อมในวันบิน ได้แก่ พาสปอร์ตตัวจริง, ใบ Fit to Fly, หนังสือรับรองการเดินทางจากสถานทูต, และใบ ตม.8
ถามว่าในวันที่ได้รับอีเมลเราสามารถเตรียมเอกสารรอเลยได้มั้ย? คำตอบคือ ได้! แต่เตรียมได้แค่อย่างเดียวคือพาสปอร์ต เพราะเอกสารอื่นๆ ต้องรออีเมลจากสถานทูตส่งมาอีกที
รับบทเป็นคนรอเก่งอีกแล้วจ้า…
ตัดภาพไป 6 วันต่อมา (วันที่ 6 สิงหาคม 2563) ประมาณบ่ายสามที่อังกฤษ มีอีเมลส่งมาจากสถานทูต พร้อมไฟล์แนบเอกสาร 2 อย่าง คือใบ ตม.8 และหนังสือยินยอมกักตัว สิ่งที่ต้องทำหลังจากนั้นคือเซ็นหนังสือยินยอมกักตัวแบบ e-signature ส่งอีเมลกลับไปให้สถานทูตให้เร็วที่สุด (ต้องส่งภายในวันที่ 7 สิงหาคม)
รายละเอียดอื่นในอีเมลคือการย้ำให้เราตรวจสอบวันหมดอายุของพาสปอร์ต เพราะถ้าใครมีปัญหาพาสปอร์ตหมดอายุก่อนวันเดินทางจะต้องติดต่อขอเอกสาร CI หรือ Certificate of Identity เพิ่มอีก เพื่อเป็นหนังสือสำคัญประจำตัวแทนหนังสือเดินทาง และต้องไปเซ็นชื่อพร้อมรับเอกสารที่สถานทูตเองก่อนวันบินด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยาก การตรวจสอบเรื่องวันหมดอายุของพาสปอร์ตจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
ในส่วนของใบ ตม.8 เป็นเอกสารที่ให้เรากรอกข้อมูลเบื้องต้นของตัวเอง รวมถึงวิธีการเดินทางเข้าไทย หมายเลขเที่ยวบิน ที่สำคัญมีส่วนที่ให้เราระบุประเทศที่อาศัยอยู่ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา และอาการต่างๆ เกี่ยวกับร่างกายที่เกิดขึ้นในสองสัปดาห์เช่นกัน เช่น เป็นไข้, อาเจียน, ปวดหัว,ปวดท้อง ฯลฯ คิดว่าน่าจะเป็นการตรวจสอบข้อมูลของเราเบื้องต้นว่ามีโอกาสติดโรคหรือไม่
ข้อต่อมาที่สถานทูตย้ำคือการเตรียมเอกสารใบ Fit to Fly ก่อนหน้านี้เราไม่เคยสนใจมาก่อนว่ามันเอาไว้ทำอะไร แต่ก็ตามชื่อนั่นแหละ มันคือใบตรวจสุขภาพ เหมือนใบรับรองแพทย์เพื่อยืนยันว่าเราพร้อมที่บิน ฟิตพอที่จะฟลายจริงๆ
ความเศร้าคืออะไรรู้มั้ย… เมื่อเดือนที่แล้ว (เดือนกรกฎาคม) สถานทูตยังออกใบนี้ให้กับคนไทยที่เดินทางกลับกับเที่ยวบินพิเศษฟรี! มีคุณหมอตรวจให้ที่สถานทูตและรับเอกสารได้เลย แต่พอเข้าเดือนสิงหาคม กลายเป็นว่าเราต้องติดต่อหา GP (General Practitioner/แพทย์ทั่วไป) ขอเอกสารเอง และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง สถานทูตเพียงแค่แนบลิ้งคลินิกหลายที่มาให้เลือก
หลังจากได้อีเมลรอบนี้ เราก็รีบเซ็นเอกสารยินยอมกักตัวส่งกลับให้สถานทูต จากนั้นก็มาหา GP สำหรับตรวจสุขภาพ ลองเช็คราคาแบบไปตรวจที่คลินิกคือรวมค่าตรวจค่าเอกสารแล้วเป็นร้อยปอนด์ โอ้โห…ใบรับรองแพทย์ใบเดียวสี่พันกว่าบาท ไปร้องไห้ที่ไหนได้บ้าง
แต่สรุปก็ต้องยอมเสียแหละ เราเลือกเป็นแบบตรวจออนไลน์กับเว็บไซต์หนึ่งไป ในราคา 95 ปอนด์ เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วในตอนนั้น วิธีการจองคือเข้าไปดูตารางที่หมอเปิดรับนัดในเว็บไซต์ กดจองเวลาที่ยังมีคิวว่าง รอรับอีเมลยืนยันจากคลินิก และในอีเมลนั้นจะมีลิ้งสำหรับเข้าไปวิดีโอคอลกับคุณหมอตามเวลานัด เราเลือกเป็นคิววันที่ 15 สิงหาคม ตอน 14.15 น. เพราะเงื่อนไขของ fit to fly คือต้องตรวจมาก่อนบินไม่เกิน 72 ชั่วโมง เลยเลือกตรวจมันวันก่อนบินซะเลย
อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือตั๋วเครื่องบิน เนื่องจากเป็นเที่ยวบินพิเศษ พอเราลงทะเบียนไปแล้วสายการบินจะติดต่อเรื่องการจ่ายค่าตั๋วผ่านทางอีเมลของเราโดยตรง ตั๋วของรอบเดือนสิงหาคมที่เรากลับ Economy Class อยู่ที่ราคา 687 ปอนด์ น้ำหนักได้คนละ 30 กก.
สายการบินส่งรายละเอียดค่าตั๋วมาให้เราในวันที่ 10 สิงหาคม และระบุให้เราโอนเงินค่าตั๋วตามเลขบัญชีที่ให้ไว้ในอีเมลภายในวันที่ 12 สิงหาคม มีเวลา 2 วันถ้วนในการแลกตังค์ เอาเงินเข้าธนาคารที่อังกฤษ และโอนไปที่บัญชีสายการบินอีกที รู้สึกว่าทุกอย่างต้องทำอย่างรวดเร็วและมีสติมาก พอจัดการเรียบร้อยก็ต้องส่งหลักฐานการโอนกลับไปที่สายการบิน วันเดียวกันนี้แหละที่เราได้เอกสารรับรองจากสถานทูตพอดี และได้ e-ticket จากสายการบินในสองวันถัดมา ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เหลือแค่รอเวลานัดหมอเป็นอย่างสุดท้าย
วันที่ 15 สิงหาคม ตั้งนาฬิกาไว้เวลา 14.10 น. ก่อนเวลาหมอนัด 5 นาที แอบตื่นเต้นเล็กๆ เพราะไม่รู้ว่าขั้นตอนการตรวจจะเป็นยังไง ไม่เคยตรวจออนไลน์ วัดไข้ก็ไม่ได้ด้วย ได้เวลายกคอมมาตั้งเข้าลิ้งที่คลินิกส่งมา แล้วระบบจะเชื่อมอัตโนมัติไปยังลิ้งวิดีโอ นับถอยหลังรอคุณหมอมา…
ได้เวลานัด คุณหมอออกมาจ๊ะเอ๋ผ่านวิดีโอพร้อมพื้นหลังเหมือนนั่งอยู่ในบ้าน เอ้อ…คุณหมอชิลดีแหละ เริ่มบทสนทนาด้วยการโชว์พาสปอร์ต ตรวจสอบชื่อ แล้วคุณหมอก็ร่ายคำถามยาวมาเลย ตามลิสต์ที่แกมีอยู่นั่นแหละ เราอ่ะหรอ มีหน้าที่แค่ตอบ yes หรือ no ไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ ประกอบ คำถามก็เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป มีโรคประจำตัวมั้ย แพ้ยาหรือเปล่า ช่วงนี้มีอาการอะไรผิดปกติมั้ย สูบบุหรี่มั้ย คนในครอบครัวมีใครมีโรคร้ายแรงหรือเปล่า คุณหมอแวะมาถามเรื่องเรียนนิดนึง พร้อมแสดงความยินดีที่เรียนจบแล้วและจะได้กลับบ้าน
คุยเสร็จเรียบร้อยคุณหมอส่งใบรับรองให้ทางอีเมลทันที ตรวจเช็คความถูกต้องก็เป็นอันเสร็จ เงิน 95 ปอนด์ หายไปในเวลาไม่ถึง 5 นาที โดยที่คุณหมอไม่ต้องเจอเราแบบตัวเป็นๆ เลยด้วยซ้ำ
พอได้ใบ Fit to Fly มา เอกสารทุกอย่างก็ครบ ขั้นสุดท้ายเหลือแค่ปริ๊นออกมา รอเอาไปยื่นในวันเดินทาง
ที่จริงการเตรียมเอกสารไม่ได้ยุ่งยากอะไรขนาดนั้นหรอก เพียงแต่เราต้องพร้อมแสตนด์บายเช็คอีเมล มีเงินติดบัญชีธนาคารสำหรับจ่ายค่านู่นนี่นั่นไว้ตลอดเวลา และที่สำคัญมีสติ!!! เช็คทุกอย่างให้เรียบร้อย เพราะถ้ากรอกอะไรผิดพลาดแทบไม่มีเวลาให้แก้ไขเลย อย่างที่เล่าไปแหละกว่าเอกสารจะครบจริงๆ ก็คือวันสุดท้ายก่อนเดินทาง…
ต้องบอกเพิ่มเติมว่า ข้อมูลที่เล่ามาทั้งหมดคือข้อมูลการเตรียมเอกสารของเราเอง ในการเดินทางไฟล์ทวันที่ 16 สิงหาคม 2563 จากสนามบินฮีทโทรว์ (London Heathrow Airport) กลับมาที่สนามบินสุวรรณภูมิ คิดว่าไฟล์ทก่อนหน้านี้ หรือไฟล์ทหลังจากนี้อาจจะมีรายละเอียดอื่นๆ ที่แตกต่างกันไปบ้างตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ไฟล์ทจากประเทศอื่นๆ ก็คงจะต่างกันด้วย
สำหรับตอนหน้า… ได้เวลาออกเดินทางกลับไทยกันแล้ว
เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังต่อว่าไฟล์ทนี้แตกต่างจากการเดินทางกลับไทยโดยปกติยังไง