1,597 total views
วันที่ 3 ของการเดินทาง…
ตื่นเช้ากันอย่างต่อเนื่อง ปลุก 6 โมงเช้ามากินข้าวที่โรงแรมเหมือนเดิม แล้วออกเดินทางตามโปรแกรมการเสียตังค์ คือไปร้านหยก ต่อด้วยร้านยาสมุนไพร
มาที่ร้านหยกกันก่อน ที่นี่มีพนักงานที่พูดภาษาไทยได้มาต้อนรับ แนะนำเกี่ยวกับหยกให้เราตั้งแต่เดินเข้าร้าน ก่อนจะพาเข้าห้องมารวมตัวฟังสรรพคุณของหยก มุก และสารพัดเครื่องประดับที่เขาขาย เราว่าวิธีการขายน่าสนใจ…
เริ่มจากการเชื่อมโยงสรรพคุณสินค้าเข้ากับความเชื่อของคนไทย ที่หลักๆ คือเรื่องโชคลาภ ความมั่งคั่งที่เป็นใครก็ต้องอยากได้ อยากมี ต่อด้วยสาธิตให้เห็นคุณภาพของสินค้า สอนวิธีเลือกซื้อให้ด้วย ง่อวว เป็นไงล่ะ ครบครัน จบท้ายก็เข้าสู่การขายอย่างแท้จริง ลดนู่น แถมนั่น เพิ่มนี่ให้ เหมือนเราเป็นลูกค้าคนพิเศษของเขา วิธีการแบบนี้น่าจะใช้ซื้อใจแลกทรัพย์นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี …แต่เราอ่ะหรอ ไม่หลงกลหรอก เพราะเอาจริงๆ คือไม่มีตังค์ซื้อ ถึงจะลดให้สุดๆ แล้วก็ตาม55555
ไปต่อกันที่ร้านยาสมุนไพร มาถึงเขาก็เคลมก่อนเลยว่าเป็นร้านของรัฐบาล ไม่มีเก็บเงินส่วนต่างเพิ่ม และแน่นอนว่าลดราคาก็ไม่ได้ด้วย มาถึงก็มีคนจีนเข้ามาเล่าถึงสรรพคุณสินค้าต่างๆ ที่เขามีขาย ระหว่างฟังก็เริ่มมีคนนวดยกน้ำร้อนใส่ยาสมุนไพรมาให้เราแช่เท้า เพื่อรอให้เขานวดหลังจากนี้
สินค้าหลักๆ ของที่นี่เป็นของที่ทำจากสมุนไพร มีสรรพคุณทางยา พวกบัวหิมะ แผ่นแปะแก้ปวด ยาผสมแช่เท้าแก้ปวดเมื่อย ขายของกันเสร็จจะมีคนมานวดเท้า นวดขาให้ฟรี และมีหมอเข้ามารักษาอาการป่วยด้วยพลังจิต ให้กับคนที่มีอาการอื่นๆ ในร่างกาย
แล้วมันคือการรักษายังไง? เขาบอกว่าเหมือนส่งพลังจากหมอไปในร่างกายเรา คือหมอไม่ต้องโดนตัว แค่เอามือไล่ไปบริเวณใกล้ๆ และส่งพลัง ‘อ่ะชิ่ว! เอ่อะฉื่อ ชิบ ฉี่’ (ออกเสียงประมาณนี้มั้ง ลองไปฟังในคลิป) แล้วผิวหนังก็จะรู้สึกเหมือนโดนเข็มจิ้ม คล้ายๆ ฝังเข็ม ณ จุดนี้อยากบอกหมอว่า หนูจะรู้สึกดีและผ่อนคลายกว่านี้ ถ้าหมอไม่เปิดพุงหนูออกมาปล่อยพลังใส่ด้วย มันแขม่วไม่ทันรู้มั้ยหมอออ -__-“
เขาบอกว่ามันคือการขับพิษออกจากร่างกาย จะรักษาอาการ รักษาโรคต่างๆ ได้ แต่จะหายขาดก็ต้องซื้อยาหมอไปกินด้วยนะจ๊ะ งานขายของยังคงมาอย่างเนื่อง… สุดท้ายจะรักษาได้จริงไม่จริงอันนี้ไม่รู้ ต้องลองมาทำดูเอง และใช้วิจารณญาณดูกันอีกที
เสียเงินกันพอสมควรแล้วก็ออกเดินทางแวะพักกินข้าวเที่ยง และมุ่งหน้าไปที่อุทยานจางเจี่ยเจี้ย ที่เป็นสถานที่ถ่ายหนังเรื่องอวตาร การเดินทางขึ้นเขาสะดวกสบายดี หนักไปที่การนั่งรถกันหลายต่อหน่อย ลงคันนี้ไปต่ออีกคัน เข้าแถวไปต่อใหม่อีกทอด ทำอย่างงี้วนไปทั้งขาขึ้นขาลง แน่นอนเจอเพื่อนมนุษย์ชาวจีนยาวไปทั้งวัน เบียดกันจนชิน ได้กลิ่นกันจนมึน
วันนี้โชคดีที่ขึ้นเขามาแล้วเจอสภาพอากาศดี กำลังเย็นสบาย ฝนไม่ตก อุณหภูมิอยู่ที่ 10 องศาปลายๆ เริ่มจากนั่งรถรางชมภูเขาภาพเขียนสิบลี้ ถ้าคนอินกับธรรมชาติคงจะพอมองออกว่า ภูเขามันเหมือนภาพเขียนยังไง แต่เรานี่ไม่มีหัวทางศิลปะและจินตนาการ เลยอินกับสภาพอากาศไปแทน
ต่อรถขึ้นเขากันเพื่อไปลิฟท์แก้ว ความสูง 326 เมตร ไว้สำหรับให้คนที่ขึ้นไปชมวิวบนยอดเขาได้เห็นทัศนียภาพ เตรียมใจก่อนเผชิญความสูงและความเสียวอย่างแท้จริง วิวจุดสูงๆ แบบนี้ทำให้ใจหวิวอยู่เหมือนกัน ที่กั้นพื้นทางเดินกับริมหน้าผาก็เป็นแค่ไม้ ที่ไม่ได้มีการเซฟตี้อะไรมาก จิกเท้าไว้กับพื้นให้แน่นและเช็คดอกยางรองเท้าให้ดีก่อนมาขึ้นเขาก็น่าจะเพียงพอ
รวมๆ ถือว่าเมื่อยขาใช้ได้ เพราะต่อรถมาแล้วก็ต้องเดินขึ้นเดินลงเขาตามเส้นทางไปจุดชมวิวต่างๆ กันอยู่หลายจุด นานพอสมควร แล้วยังต้องมาเจอแคมเปญ ‘ถ่ายรูปยังไงให้ไม่ติดคน ภาค 2’ กับแคมเปญใหม่ ‘ถ่ายรูปยังไงไม่ให้รู้ว่าขาสั่น’ เอาเป็นว่าวันนี้หลักๆ เราทำหน้าที่เป็นช่างภาพไปแทน เรื่องวิวภูเขาด้านบนสวยไม่สวยลองดูในภาพกันเอานะ
บันทึกการเดินทางวันนี้ยาวมากจริงๆ ส่วนรูปก็จะเขียวๆ หน่อย
ราตรีสวัสดิ์คืนที่ 3…