1,550 total views
3 วันสุดท้ายของการเดินทาง…
รวมมาไว้ในบันทึกเดียว เพราะวันที่ 4 ขึ้นเขาหนาวเกินจนป่วย เลยพักกันมายาวๆ จนวันนี้กลับไทยแล้วเลยมาเขียนต่อให้จบทริป
วันที่ 24 วันนี้เราก็ไปขึ้นเขากันอีก มุ่งหน้าไปชมประตูสวรรค์ที่เทียนเหมินซาน เป็นวันที่ใช้ชีวิตคุ้มมากก ตอนขึ้นเขาต่อคิวนั่งเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไประยะทาง 3 กิโลกว่า กับระดับที่สูงขึ้นจากพื้นเรื่อยๆ จนถึงยอดเขา ทำให้ได้เห็นทัศนียภาพและธรรมชาติสวยงามสุดลูกหูลูกตา พร้อมกับเส้นทางถนนที่คดเคี้ยวอยู่รอบเขา ที่มองจากมุมสูงแล้วเป็นภาพที่สวยไปอีกแบบ
ขึ้นเขามาเจอกับหมอกหนา และอุณหภูมิที่ลดลงเหลือแค่ 12 องศา ต้องพากันหยิบเสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ หมวกที่เตรียมกันไว้มาใส่ ถ้าจะมาที่นี่ต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนจริงๆ ขนาดเราว่าใส่หนาแล้ว วันต่อมายังป่วยได้ -__-“
พอหมอกหนาก็ทำให้การชมวิวธรรมชาติในตอนแรกแทบไม่เห็นอะไรเลย ต้องรอให้ผ่านไปจนหมอกเริ่มจางถึงพอมองเห็นพื้นด้านล่าง และสัมผัสได้ว่ามันสูงมากจริงๆ เดินวนกันรอบเขาจนมาถึงทางเดินกระจกริมเขา ที่เคยมีคนเล่าลือกันว่าน่ากลัว พอมาถึงต้องสวมถุงครอบรองเท้ากันลื่น กันเปื้อนกันก่อน แล้วก็ออกลุย! เพื่อมาพบความจริงว่า… มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แถมระยะทางเดินยังสั้นมากด้วย แต่ก็ได้วิวมุมสูงที่ดีกลับไปหลายรูป แค่ต้องรอจังหวะคนมหาศาลที่มาต่อคิวเดินผ่านจุดที่เราจะถ่ายไปให้ได้ก่อนเท่านั้น (ซึ่งมันก็นานอยู่นั่นแหละ)
จากตรงนี้เราเดินต่อไปตามเส้นทางจุดถ่ายรูปกันอีกหลายจุด วิวก็จะคล้ายๆ กัน คือวิวภูเขาและพื้นถนนจากมุมสูง จนมาถึงตอนลงไปประตูสวรรค์ คราวนี้ใช้บรรไดเลื่อนลงไป เป็นบันไดแบบยืนได้คนเดียวต่อกันภายในอุโมงค์แบบปิด และจะมีภาพวิวเทียนเหมินซานในฤดูกาลต่างๆ ให้เราชมระหว่างลงบันไดเลื่อนไปด้วย
มาถึงจุดด้านหน้าประตูสวรรค์ ตรงนี้มีนักท่องเที่ยวอยู่กันค่อนข้างเยอะ เสียดายที่วันนี้บันไดขึ้นไปด้านบนประตูปิดซ่อม เพราะมีคนกลิ้งตกลงมาเมื่อ 2 วันก่อน (ไม่แน่ใจข้อเท็จจริง) เราเลยไม่ได้ไปถ่ายรูปกับประตูใกล้ๆ แต่ก้ได้ภาพมุมกว้างๆ มาแทน ก็เป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติดีนะที่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเขาตรงนี้ได้พอดี เหมือนเป็นเป็นประตูสวรรค์จริงๆ
ถ่ายภาพ ชมความงามกันเสร็จก็ต่อรถบัสของที่นี่ที่มีบริการไว้ ผ่านเส้นทาง 99 โค้ง เพื่อกลับลงไปข้างล่าง ไกด์แนะนำว่าที่นั่งฝั่งขวาข้างคนขับจะเป็นจุดที่น่าหวาดเสียวที่สุด เราเลยลองไปนั่งตรงจุดนั้นดู มันก็แอบหวาดเสียวอยู่บ้างตอนตีโค้งแต่ละที ที่เฉียดริมเขาไปมา เหมือนจะตกไปแล้วจริงๆ แต่คนขับที่นี่คงขับอย่างชำนาญแล้ว ถึงกะระยะได้แม่นยำ ทำให้เราลงจากเขามาอย่างปลอดภัย แถมได้วิวประตูสวรรค์จากอีกมุมนึงกลับมาด้วย
วันที่ 25 โปรแกรมวันนี้เน้นการเดินทางกลับฉางซาซะส่วนใหญ่ ตอนเช้าเราไปชมพิพิธภัณฑ์ภาพเขียนทรายกันก่อน เป็นภาพที่ศิลปินชาวจีนสร้างสรรค์ขึ้นโดยใส่ดินทรายและสีจากธรรมชาติมาทำให้เกิดเป็นภาพงานศิลปะที่งดงาม มีมิติ และสะท้อนความเป็นอยู่ วิถีชีวิต วัฒนธรรมของคนที่นี่ไว้ด้วย
ตอนบ่ายเราเดินทางกันยาวๆ จนมาถึงฉางซาไปแวะเดินถนนคนเดินหวงซิง บรรยากาศก็แนวๆ เดินมยองดงของเกาหลี ส่วนใหญ่เน้นขายเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ของแบรนด์ต่างๆ รวมถึงแบรนด์ก้อปของจีน หรือแบรนด์ญี่ปุ่นที่เรารู้จักกันทั่วไป ถ้าเป็นของกินก็จะเป็นผลไม้ ของทอด แมลงเสียบไม้ หรืออาหารที่ขึ้นชื่อของที่นี่อย่างเต้าหู้เหม็น ที่พอได้ลองกินมันก็ไม่ได้เหม็นนะ รสชาติอร่อยและกินเพลินดี จบแผนท่องเที่ยววันนี้ท่ามกลางบรรยากาศฝนตกปรอยๆ ระหว่างเดินซื้อของ จากที่ป่วยอยู่แล้วก็กลับไปกินยากันอีก
วันสุดท้าย วันของการเดินทางกลับ ตื่นสายกันได้มากกว่าทุกวัน ก่อนออกเดินทางมากินข้าวและตรงเข้าสนามบิน กลับไฟล์ทช่วงบ่าย การตรวจสิ่งของเข้มงวดพอสมควร ต้องตรวจกันสองรอบ หลังเช็คอินเรียบร้อย ต้องแสกนรอบแรกเพื่อผ่าน ตม. และมาแสกนรอบสองก่อนเดินไปที่เกท รอบนี้ต้องเอาของจำพวกกล้อง มือถือ พาวเวอร์แบงค์ อะไรที่มีแบต แยกออกมาให้เจ้าหน้าที่แสกนด้วย
พาวเวอร์แบงค์จะต้องขนาดไม่เกิน 15,000 พร้อมกับมีป้ายแสดงความจุชัดเจน ตรวจของแล้วคนก็ต้องตรวจเหมือนกัน ระหว่างที่ของผ่านสายพาน เราก็มาผ่านเครื่องแสกนของคน จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจสิ่งของแปลกปลอมตามร่างกาย พอผ่านจุดนี้ไปได้ก็ถือว่ากลับประเทศไทยอย่างหมดกังวล
ก่อนขึ้นเครื่อง แวะไปดูของดิวตี้ฟรีกันสักแปบ ก็เจอเลยว่า ราคาของสูงกว่าที่ขายด้านนอกหลายเท่า ไม่เหมือนหลายประเทศที่ในสนามบินดิวตี้ฟรีของจะถูกกว่า ถ้าคนที่หวังจะมาซื้อของฝากด้านใน เราว่าซื้อจากข้างนอกมาก่อนดีที่สุด
จบการเดินทางสำหรับทริปนี้ บินกลับไทยโดยสวัสดิภาพ…